วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โจโฉ



ชื่อตัวละคร : โจโฉ

มีความสำคัญ : บุรุษผู้ยอมทรยศคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศตน ตำแหน่งสูงสุดคือ มหาอุปราช เป็นผู้กุมอำนาจทั้งปวง อยู่เหนือฮ่องเต้ เดิมทำราชการอยู่ภายในราชสำนัก คนทั้งปวงยำเกรง ถูกแต่งตั้งให้ไปสกัดการโจมตีของขบถโจรโพกผ้าเหลือง สุดท้ายแยกตัวหนีออกมาหลังจาก ลอบฆ่า ตั๋งโต๊ะ ไม่สำเร็จ รวบรวมเจ้าเมืองต่างๆ เข้าโจมตี ตั๋งโต๊ะ แต่ไม่สำเร็จ จึงแยกตัวออกมา ต่างหาก สะสมกำลังพลและแสยานุภาพ ครอบครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ จนถูกเชิญมาเป็น มหาอุปราช ได้ใช้ความสามารถ การรู้จักใช้คน และเลห์เหลี่ยมกลยุทธ์ ที่เป็นที่เลื่องลือ จนสามารถครอบครองส่วนของแผ่นดินจีนไว้มากที่สุด ที่ได้ชื่อว่า วุยก๊ก

ลักษณะนิสัย :  เป็นผู้ที่มีนิสัยโหดเหี้ยมและทะเยอทยาน เจ้าเล่ห์เพทุบายในการวางแผน มีเหตุผลในบางครั้ง ผูกใจคนเก่ง มีศิลปะใน
การเลือกใช้คนสูง บริหารจัดการเก่ง มีความเป็นผู้นํา

อยู่ในก๊ก : วุยก๊ก หรือ รัฐเว่ย (จีน: 曹魏; พินอิน: Cáo Wèi) จัดเป็นก๊กที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสามก๊ก ในระหว่างปี พ.ศ. 763 - พ.ศ. 808 (ปี ค.ศ. 220-265) วุยก๊กครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศจีน ปกครองโดยโจโฉ

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ขนมจากประเทศฝรั่งเศส



ขนมจากประเทศฝรั่งเศส




Image result for ฝรั่งเศส




ถ้าจะให้พูดถึงประเทศฝรั่งเศสแล้วละก็เพื่อนๆคงนึกถึงหอไอเฟลเป็นอันดับแรกสินะคะ แต่เดี๋ยวก่อนเพื่อนๆคงอาจจะลืมไปว่าประเทศฝรั่งเศสมีขนมที่น่ารักประทานมากมายอีกทั้งขนมบางอย่างที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสอีกด้วยส่วนตัวแล้วบัวชอบรับประทานขนมฝรั่งเศสมากโดยเฉพาะชูครีมเพราะเป็นขนมสอดไส้ครีมที่อร่อยๆมากๆเลยค่ะเอาเป็นว่าบัวจะพาเพื่อนๆไปรู้จักขนมสัญชาติฝรั่งเศส4อย่างกันนะคะ





1.ครอก็องบุช


Image result for วิธีทำ ครอก็องบุช


ชื่อขนมครอก็องบุชมาจากวลีภาษาฝรั่งเศสว่า croque en bouche แปลว่ากรอบกร้วมอยู่ในปาก

ส่วนผสม (สำหรับ 20 – 30 ชิ้น) เตรียม 30 นาที ปรุง 1 ชั่วโมง
ส่วนผสมแป้งชู (Choux)

แป้งอเนกประสงค์ 150 กรัม
ไข่ไก่เบอร์ 2 (เฉพาะไข่แดง) 3 ฟอง
เนยเค็ม 100 กรัม
นมจืด 70 มิลลิลิตร
น้ำ 190 มิลลิลิตร
ถุงบีบและหัวกลมเบอร์ 14
ส่วนผสมไส้ครีมชาไทย

ผงชาเนสที 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่เบอร์ 2 2 ฟอง
วิปปิ้งครีม 200 มิลลิลิตร
นมจืด 200 มิลลิลิตร
น้ำตาลทราย 100 กรัม
เนยเค็ม 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
ถุงบีบและหัวบีบไส้เอแคลร์
น้ำมันพืชสำหรับทาถาดเล็กน้อย
ส่วนผสมน้ำตาลเคลือบหน้าชู

น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม
น้ำปูนใส 100 มิลลิลิตร
ส่วนผสมน้ำตาลสำหรับแต่งขนม
น้ำตาลทราย 450 กรัม
กลูโคสไซรัป 1 ช้อนชา
น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบด้วยไฟบน – ล่างที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ทาเนยขาวลงบนถาดอบขนมพร้อมปูกระดาษไข เตรียมไว้
2. ทำไส้ครีมชาไทยโดยผสมส่วนผสมทุกอย่าง (ยกเว้นเนย) ลงในอ่างผสม คนให้ละลายเข้ากัน นำไปตุ๋นบนน้ำเดือด คนด้วยตะกร้อมือจนส่วนผสมข้นขึ้น เติมเนย คนอีกครั้งแล้วยกลง เทใส่ถาด เกลี่ยให้ทั่วแล้วใช้ฟิล์มถนอมอาหารปิดให้นาบส่วนผสม พักให้เย็น นำเข้าช่องเย็น พักไว้
3. ทำแป้งชูโดยร่อนแป้ง เตรียมไว้ จากนั้นใส่น้ำ นม และเนยลงในกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟกลาง คนให้ส่วนผสมเข้ากัน พอเดือดยกลงจากเตา แล้วจึงค่อย ๆ ใส่แป้งที่ร่อนไว้จนหมด คนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากันยกขึ้นตั้งไฟ คนต่อจนส่วนผสมข้นเหนียวเมื่อยกตะกร้อมือขึ้นจะไหลลงเป็นก้อนปิดไฟ ยกลง
4. เทส่วนผสมข้อ 3 ใส่เครื่องตี ใช้หัวตีแบบตะกร้อ ตั้งความเร็วต่ำ ตีนาน 2 นาที พอส่วนผสมเริ่มอุ่นใส่ไข่แดงลงไปทีละฟองจนหมด ตีพอเข้ากัน จากนั้นเพิ่มความเร็วปานกลาง ตีต่อประมาณ 5 นาที ปิดเครื่องตักส่วนผสมใส่ถุงบีบแล้วบีบให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 – 2 นิ้วลงบนถาดรองกระดาษไข เว้นระยะห่างให้ขนมขึ้นฟูอีกเท่าตัว ทำจนหมดส่วนผสม นำเข้าอบ
ประมาณ 15 – 18 นาทีหรือจนกว่าขนมจะพองสุก นำออกจากเตา พักขนมไว้บนตะแกรงจนเย็น รอเคลือบหน้าและบรรจุไส้
5. ทำน้ำตาลเคลือบหน้าขนมโดยผสมส่วนผสมในหม้อ คนให้น้ำตาลละลายเข้ากันยกขึ้นตั้งไฟกลาง พอเดือดหรี่ไฟลง แล้วคนต่อจนส่วนผสมข้นขึ้น ปิดไฟ ยกลง นำชูที่พักจนเย็นแล้วมาชุบน้ำตาลให้เคลือบด้านหน้า แล้วคว่ำด้านที่ชุบลงกับถาดที่ทาด้วยน้ำมันบาง ๆ พักไว้จนน้ำตาลแข็งตัว
6. นำชูที่ได้ในข้อ 5 มาบรรจุไส้ โดยนำไส้ขนมที่พักไว้ออกมาคนให้คลายความเย็น ตักใส่ในถุงบีบ บีบใส่ในตัวชูจนเต็ม พักไว้
7. ทำน้ำตาลสำหรับตกแต่งโดยนำส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน รอจนส่วนผสมละลายเข้ากันและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง ยกลงจากเตา พักหม้อในอ่างผสมที่ใส่น้ำไว้เพื่อลดอุณหภูมิ
8. นำชูที่ได้ในข้อ 6 มาชุบน้ำตาลสำหรับตกแต่ง แล้ววางขนมต่อกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเป็นรูปทรงพีระมิด จากนั้นใช้ส้อมจุ่มน้ำตาลที่เหลือโรยรอบพีระมิดชูให้เป็นเส้นสวยงาม






2.ชูครีม

Image result for ประวัติ ชูครีม



ชู ครีม เป็นขนมหวานชนิดหนึ่งที่มาจากเมืองน้ำหอม ประเทศ ฝรั่งเศส แต่เดิมเขาจะเรียกว่า ชู อา ลาเครม์ ความหมายของคำแต่ละคำคือ ชู หมายถึง กะหล่ำปลี ลาเครม์ หมายถึง ครีม ดังนั้น ชู อา ลาเครม์ ก็คือ กะหล่ำปลีมีครีม ไม่ใช่ แปลให้เข้ากับความอร่อยของขนมชนิดนี้ก็ ขนมที่มีรูปร่างเหมือนกะหล่ำปลี แต่ใส่ครีมเข้าไปนั่นเอง ประมาณปี พ.ศ. 2443 ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทย ได้ทำขนมชนิดนี้มารับประทานกัน แล้วก็ได้ทำขนมอีกอย่างหนึ่งที่ใช้แป้งชนิดเดียวกัน แต่เพิ่มสีสัน และ ความหลากหลายมากขึ้น นั่นก็คือ เอแคร์ (Eclair) ที่เราคุ้นชื่อมากกว่า แต่ขณะที่ทำขนมทั้งสองชนิดอยู่นั้นจะมี สาวชาวไทย เข้าไปช่วยทำ และถามชื่อขนมว่าคืออะไร ก็ได้รับคำตอบว่า นี่คือ ชู อา ลาเครม์ ส่วนอีกคนก็นี่คือ เอแคร์ แน่นอนว่า ชู อา ลาเครม์ เรียกยากมาก หลายพยางค์อีกต่างหาก จึงไม่นิยม และ คนไทยจึงได้เรียกชื่อ ขนม ทั้งสองชนิดรวมเป็นชื่อเดียวกันคือ เอแคร์ จนมาถึงปัจจุบัน

วิธีทำ
ส่วนผสม แป้งชูครีม (ประมาณ 25 ชิ้น)

     • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม
     • น้ำเปล่า 120 มิลลิลิตร
     • เกลือ 1/4 ช้อนชา
     • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
     • เนยจืด (ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ) 57 กรัม
     • ไข่ไก่ขนาดใหญ่  2 ฟอง (ประมาณ 54 กรัม) ตีให้เข้ากัน
     • ไข่ไก่ 1 ฟอง (สำหรับทา ถ้าไข่ไก่จากส่วนผสมด้านบนเหลือ ไม่ต้องใช้ส่วนนี้ค่ะ)

ส่วนผสม ไส้ครีมวานิลลา

     • วิปปิ้งครีม 240 มิลลิลิตร
     • กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
     • น้ำตาลไอซิ่ง 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำตาลไอซิ่ง (สำหรับโรย)


ชูครีมไส้ครีมวานิลลา

  1. ใช้หม้อ 1 ใบ ใส่น้ำเปล่า เกลือ น้ำตาลทราย และเนยจืดลงไป นำไปตั้งไฟให้ร้อนปานกลาง คนให้เนยละลายก่อนน้ำจะเดือด แล้วก็ปิดไฟ หรือยกออกจากเตา
  2. ใส่แป้งอเนกประสงค์ที่ร่อนแล้วลงไปในเนย คนให้ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงเปิดไฟ หรือนำไปตั้งไฟอีกครั้ง วิธีนี้จะทำให้แป้งสุกพร้อม ๆ กัน ไม่จับตัวเป็นก้อนขาว ๆ คนจนให้แป้งสุกและน้ำระเหยออกไปพอสมควร เมื่อเห็นว่าแป้งสุก เนื้อเนียน และเป็นฟิล์มติดก้นหม้อก็ยกออกจากเตาได้ 
  3. นำแป้งมาตีในเครื่องตีด้วยความเร็วปานกลางสักครู่ เพื่อให้คายความร้อนออก หรือถ้าไม่ใช้เครื่องตีก็สามารถใช้ช้อนไม้คน ๆ ก็ได้ ทำขั้นตอนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่สุกตอนผสมกับแป้ง
  4. เมื่อแป้งเย็นตัวลงแล้วก็ค่อย ๆ เทไข่ไก่ (ตีไข่แดงกับไข่ขาวรวมกันเรียบร้อยแล้ว) ประมาณครึ่งส่วนลงไปผสมกับแป้ง ใช้ความเร็วปานกลาง หรือใช้ช้อนไม้คน ๆ อย่าเทไข่ลงไปผสมทั้งหมดในครั้งเดียว เพราะอาจจะทำให้แป้งเหลวจนเกินไป ค่อย ๆ ผสมทีละครึ่งส่วนจะดีกว่าค่ะ 
  5. วิธีสังเกตว่าแป้งที่เราผสมใช้ได้หรือยัง ให้ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับแป้งขึ้นมาแล้วกางนิ้วออก ถ้าแป้งตั้งยอดแข็ง แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ควรผสมไข่ไก่ลงไปเพิ่มจนได้แป้งที่ตั้งยอดอ่อน ๆ (ดูตัวอย่างในวิดีโอนะจ๊ะ) 
  6. เมื่อได้แป้งที่เราต้องการแล้วก็เทใส่ถุงบีบ (นกใช้หัวบีบกลม ๆ ของ Wilton 2 A) หรือจะใช้ช้อนตักทำเป็นฟอร์มกลม ๆ ก็ได้
  7. บีบแป้งลงไปในถาดที่รองด้วยกระดาษไข บีบขนาดเล็กหรือใหญ่ตามความชอบค่ะ ใช้แปรงจุ่มไข่แล้วก็ปาด ๆ ทา ๆ ลงบนตัวแป้ง พร้อมทั้งจัดรูปทรงให้สวยงาม ทาไข่ไก่จะทำให้ขนมมันวาวสวยงาม
  8. นำไปอบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส ใช้ไฟบนและไฟล่าง ไม่เปิดพัดลม อบนานประมาณ 25-30 นาที ขึ้นอยู่กับชนิดของเตาอบด้วยนะคะ ต้องคอยสังเกตดู ระหว่างอบห้ามเปิดประตูเตาอบเด็ดขาดเพราะจะทำให้ขนมยุบตัว เวลา 15 นาทีแรกจำเป็นมาก ๆ ที่เตาอบจะต้องร้อนเพราะจะทำให้ขนมตั้งฟอร์มขึ้นมา หลังจาก 15 นาที ถ้าเห็นว่าขนมสีเริ่มเข้มก็สามารถลดไฟลงได้ แต่ต้องอบจนครบเวลา 
  9. เมื่อครบเวลาอบแล้วให้แง้มประตูเตาอบไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงนำขนมมาพักให้เย็นบนตะแกรง
  10. ระหว่างรอขนมเย็นตัวมาตีวิปปิ้งครีมกันค่ะ ก่อนจะตีวิปปิ้งครีม ชามผสมและไม้ตีจะต้องแช่ตู้เย็นก่อนอย่างน้อย 15 นาทีและวิปปิ้งครีมจะต้องเย็นมาก ๆ 
  11.  ในชามผสมใส่วิปปิ้งครีม น้ำตาลไอซิ่ง และกลิ่นวานิลลาลงไป ตีด้วยความเร็วต่ำก่อนเพื่อให้น้ำตาลกับครีมเข้ากันแล้วจึงเพิ่มเป็นความเร็วสูง ตีจนกว่าวิปปิ้งครีมเป็นวิปครีมตั้งยอดค่อนข้างแข็ง เสร็จเรียบร้อยก็นำไปใส่ในถุงบีบ (นกใช้ Wilton 1 M) 
  12. ตัดตัวขนมแบ่งครึ่งแล้วก็บีบวิปครีมลงไปปิดตัวขนม ด้านบนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ทานคู่กับสตรอว์เบอร์รีก็อร่อย ๆ มาก หรือจะบีบใส่ตัวขนมโดยวิธีเจาะก้นแล้วเติมครีมลงไปก็ได้ตามความชอบค่ะ
  13. จะทานทันทีกรอบ ๆ หรือจะแช่ตู้เย็นให้ตัวขนมนิ่มก่อนก็อร่อยมาก กินไม่หมดสามารถแช่ตู้เย็นเก็บไว้นาน 2-3 วัน 






3.แครมบูเล่



Image result for เครมบรูเล่



แครมบรูว์เลปรากฏชื่ออยู่ในตำราทำอาหารของพ่อครัวฟร็องซัว มาซียาโล (François Massialot) ฉบับปี ค.ศ. 1691แต่ในตำราทำอาหารของมาซียาโล ฉบับปี ค.ศ. 1731 เรียกแครมบรูว์เลว่า "แครม็องแกลซ" หรือครีมแบบอังกฤษ (crème anglaise)ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ของหวานชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า "เบินต์ครีม" หรือครีมเผา (burnt cream) ในภาษาอังกฤษ

ส่วนในบริเตนใหญ่ มีการแนะนำแครมบรูว์เลอีกชนิดหนึ่งให้เป็นที่รู้จักในวิทยาลัยทรินิตี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ. 1879 แครมบรูว์เลชนิดนั้นจึงมีชื่อท้องถิ่นว่า "ครีมทรินิตี" (Trinity Cream) หรือ "ครีมเผาแบบเคมบริดจ์" (Cambridge burnt cream) อย่างไรก็ตาม ครีมทรินิตีก็ไม่ได้รับการคิดค้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แต่อย่างใด กล่าวกันว่าสูตรของครีมทรินิตีมาจากแอเบอร์ดีนไชร์ในสกอตแลนด์

ส่วนผสม

เฮฟวี่ครีม 3/4 ถ้วย
นมจืด 3/4 ถ้วย
ไข่แดง 4 ฟอง
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
เกลือ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ

เทเฮฟวี่ครีมกับนมจืดลงไปในหม้อ ตั้งไฟปานกลาง แล้วคนจนส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นก็ปิดไฟแล้ววางพักไว้
ผสมไข่แดงกับไข่ไก่ ตีให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่น้ำตาลทราย กลิ่นวานิลลา และเกลือ ตีให้เข้ากัน
ค่อยๆ เติมครีมและนมที่ผสมไว้ เทลงไปในชามไข่ ตีให้เข้ากันอีกครั้ง
เตรียมเตาอบที่อุณภูมิ 90 องศา วางถ้วยสำหรับใส่ขนมลงไปในถาด จากนั้นให้ใส่น้ำร้อนลงไปในถาดด้วย เทไปประมาณเกือบถึงครึ่งถ้วย
เทขนมลงไปในถ้วย แล้วนำเข้าเตาอบ 30 นาที ใช้อุณภูมิ 90 องศา อบจนขนมเซตตัว จากนั้นก็นำออกมาวางพักไว้ แล้วแช่ตู้เย็น
ก่อนจะเสิร์ฟให้นำออกมาจากตู้เย็นแล้วโรยน้ำตาลทรายให้ทั่ว ถ้าที่บ้านไม่มีที่พ่นไฟ ให้เอาก้นช้อนไปลนไฟ แล้วนำมานาบกับน้ำตาลทราย
เมื่อน้ำตาลทรายละลาย ก็จะกลายเป็นคาราเมลเคลือบแข็ง 






4.มาการอง


Image result for มาการอง




ระบุว่า มาการงนั้นมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 791 ในคอนแวนต์แห่งหนึ่งใกล้กับเมืองกอร์เมอรี จังหวัดแอ็งเดรลัวร์ บ้างก็สืบค้นประวัติศาสตร์ชาติฝรั่งเศสย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1533 สมัยที่กาเตรีนา เด เมดีชี อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส นางได้นำเชฟทำขนมชาวอิตาลีกลับมาด้วย ในปี ค.ศ. 1792 ช่วงการปฏิวัติชาติฝรั่งเศส มีแม่ชีนิกายคาทอลิกสองท่านซึ่งหลบภัยไปอยู่ที่เมืองน็องซี ได้อบขนมคุกกี้มาการงขายเพื่อจะนำเงินมาจ่ายค่าบ้าน ทำให้มาการงเป็นที่รู้จักโดยทั่ว มีคนตั้งชื่อให้ท่านทั้งสองว่า "ซิสเตอร์มาการง" ซึ่งในช่วงแรกนั้น มาการงจะเป็นขนมเปล่า ๆ ไม่มีรสหรือไส้อะไรที่พิเศษ

จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1830 เริ่มมีการเสิร์ฟมาการงเป็นคู่ ๆ พร้อมกับแยม เหล้า และเครื่องเทศต่าง ๆ แต่มาการงในทุกวันนี้ประกอบไปด้วยเมอแร็งก์แอลมอนด์สองชิ้นประกบกันสอดไส้ตรงกลาง ไส้ที่ว่านี้อาจจะเป็นครีมเนยที่ใช้แต่งหน้าเค้ก (บัตเตอร์ครีม) แยม หรือกานัช ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า "แฌร์แบ" หรือ "มาการงปารีส" มีการกล่าวอ้างว่า เมื่อต้นยุคศตวรรษที่ 20 เชฟปีแยร์ เดฟงแตนแห่งร้านขนมฝรั่งเศสลาดูว์เร (Ladurée) เป็นผู้คิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา แต่นักทำขนมอีกคนหนึ่งคือ โกลด แฌร์แบ ก็อ้างว่าสูตรนี้เป็นผลงานของเขาเช่นกัน

ส่วนผสม
  1. อัลมอนด์ป่น 300 กรัม
  2. น้ำตาลไอซิ่ง 300 กรัม
  3. ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 110 กรัม
  4. ผงชาเขียว 10 กรัม
  5. น้ำเปล่า 75 กรัม
  6. น้ำตาลทราย 255 กรัม
  7. ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 110 กรัม
วิธีทำ

  1. ตัดถุงบีบ ใส่หัวบีบ แล้ววางแผ่นซิลิโคนบนถาดอบ เตรียมไว้
  2. ผสมอัลมอนด์ (ถ้าใช้ผงชาเขียวให้ใส่ตอนนี้ แล้วคนให้เข้ากัน) และน้ำตาลไอซิ่งเข้าด้วยกัน นำร่อนแล้วพักไว้
  3. ทำอิตาเลียนเมอแรงโดยใส่ไข่ขาวลงโถ แล้วเตรียมหัวตีรูปตะกร้อไว้
  4. เทลงในหม้อ ใส่น้ำตาลทรายลงไป รอจนน้ำซึมเข้าน้ำตาลให้ทั่ว นำไปตั้งไฟกลาง ต้มให้เดือด จากนั้นวางเทอร์โมนิเตอร์ลงในหม้อเพื่อวัดอุณภูมิ
  5. รอจนได้อุณภูมิ 115 องศาเซลเซียส ให้เปิดเครื่องตีไข่ขาวด้วยความเร็วต่ำ เตรียมไว้
  6. รอจนน้ำตาลเดือดที่อุณภูมิ 117 องศาเซลเซียส จึงยกลงเตา ค่อยๆ เทลงในโถ่ตีไข่ขาวจนหมด
  7. เร่งสปีดตีไข่ขาวที่ความเร็วสูงสุดจนตั้งยอดแข็ง แล้วพักไว้ให้คลายร้อน ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดจนได้อุณภูมิต่ำกว่า 50 องศา จึงนำไปใช้ได้
  8. ใส่สีผงชาเขียวลงในส่วนผสมอาหารลงในส่วนอัลมอนด์ที่ร่อนไว้ ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวลงไป ใช้พายยางคนให้เข้ากัน
  9. แบ่งเมอแรงครึ่งหนึ่งใส่ลงไปแล้วใช้พายยางค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน
  10. ใส่เมอแรงส่วนที่เหลือลงไป แล้วตะล่อมเบาๆ (ระวังอย่าคนแรง) ให้เข้ากัน พักไว้
  11. ตักส่วนผสมใส่ถุงบีบที่เตรียมไว้ (ระหว่างนี้ให้เปิดเตาอบอุณภูมิ 160 องศาเซียส ไฟบน-ล่าง เตรียมไว้)
  12. บีบมาการองลงในถาดรองแผ่นซิลิโคนให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 3 เซนติเมตร และห่างกันประมาณ 3 เซนติเมตร
  13. เคาะถาดจากด้านล่างเบาๆ ให้ทั่วทั้งถาด เพื่อให้เส้นผ่านศูนย์กลางขยาขึ้นเป็น 4 เซนติเมตร วางพักไว้ 5-10 นาที
  14. ลดอุณภูมิเตาอบลงเหลือ 140 องศาเซลเซียส นำมาการองเข้าอบนาน 14 นาที
  15. นำฝามาการองออกจากเตา พักไว้ให้เย็น แล้วค่อยๆ แกะออกจากแผ่นซิลิโคน โดยหงายฝามาการองและขับคู่เรียงเตรียมไว้บนถาด พักไว้
ส่วนผสมไส้
  • ไวท์ช็อกโกแลตชนิดเม็ด 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีมชนิด Dairy 300 กรัม
วิธีทำไส้
  1. เทวิปปิ้งครีมใส่หม้อ นำไปตั้งไฟอ่อนรอให้เดือด ยกลงจากเตา
  2. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อย  ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมวิปปื้งครีมแล้วคนไม่ให้จับตัวเป็นก้อน
  3. ใส่ไวท์ช็อกโกแลตลงในชามเซรามิกหรือพาสติกสำหรับเข้าไมโครเวฟ นำไปละลายในไมโครเวฟ (ความร้อนระดับสูงหรือประมาณ 600 วัตต์) นาน 1.5-2 นาที
  4. นำช็อกโกแลตที่ละลายที่ละลายแล้วออกจากเตาไมโครเวฟ  ใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้หายร้อน แล้วนำไปแช่เย็น 1 ชั่วโมง
  5. นำไส้มาการองออกจากตู้เย็นใช้พายยางตีให้คลายตัว พักไว้
  6. จากนั้นก็บีบไส้มาการองลงบนฝาแล้วก็นำมาประกบกัน



ค่ะก็จบไปแล้วนะคะสำหรับวิธีทำขนมสี่อย่างจากประเทศฝรั่งเศสน่าทานมากๆเลยใช่มั้ยแหละคะ บัวก็หวังว่าเพื่อนๆจะนำไปทำตามจากวิธีที่บัวได้บอกไว้ข้างต้นนะคะ ขอให้สนุกกับการรับประทานละการทำขนมนคะ








ประวัติผู้จัดทำ








นางสาว กรกมล บุตรวงษ์ มัธยมศึกษาปีที่5/2 เลขที่9

โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง 

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ความฝันในวัยเด็กของเราาาาา

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคนเราชื่อบัวนะคะ วันนี้จะมาบอกเล่าเกี่ยวกับความฝันในวัยเด็กพื่อนๆทุกคนก็คงต้องมีความฝันในวันเด็กของตัวเองกันใช่มั้ยหละคะ บางคนก็สามารถทำตามความฝันในวัยเด็กของตัวเองได้สำเร็จบางคนก็ฝันแล้วแต่มีการเปลี่ยนแปลงฝันไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับบัว บัวก็มีความฝันในวัยเด็กคือบัวอยากเป็นคนร้องนักดนตรีของโรงเรียนได้เล่นดนตรีแสดงงานโรงเรียนตามคุณพ่อ ด้วยความที่ว่าคุณพ่อของบัวชอบเล่นดนตรีคือคุณพ่อเล่นกีต้าร์แล้วก็มีวงดนตรีในโรงเรียนร่วมกับเพื่อนๆของคุณพ่อ ตอนเด็กๆบัวก็เลยคลุกคลีกับกีต้าร์โปร่งกีต้าร์ไฟฟ้าของพ่อตั้งแต่เด็กเลยค่ะ






มีความคลุกคลีตั้งแต่เด็กเลยจริงๆและตั้งแต่จำความได้บัวก็ชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็กสมัยมั้ยก่อนร้องเพลงที่ฮิตๆได้หมดทุกเลยเลยค่ะ ชอบเปิดรายการเพลงของช่องต่างๆฟังสมัยก่อนชอบมาก กามิกาเซ่
เป็นค่ายโปรดมากเพลงไหนร้องได้หมดมีการเปลี่ยนแปลงของค่ายยังไงบ้างรู้หมดคือชอบแบบชอบมากเวลาไปร้องคาราโอเกะก็ยังร้องเพลงเก่าๆอยู่ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ฟังเพลงเรื่อยๆยังไม่เลิกฟังเลยค่ะโดยเฉพาะเพลงKPOPชอบมากกโดยเฉพาะ JYPวงไหนในค่ายนี้ร้องเพลงอะไรร้องได้หมดชอบมากถึงมากที่สุดเลยค่ะอันนี้ก็จะเป็นสาเหตุว่าทำไมบัวถึงอยากเป็นนักร้องนะคะ

และบัวได้มาเริ่มเล่นเครื่องดนตรีครั้งแรก คือตอนประถมศึกษาปีที่6 โดยบัวเริ่มเล่นอูคูเลเล่เป็นครั้งแรกเป็นเครื่องสายที่ดูเล่นง่ายที่สุดแล้วคุณปู่เป็นคนซื้อให้ในครั้งนั้นและด้วยความที่บัวเป็นคนเบื่ออะไรง่ายๆ การเล่นอูคูเลเล่ในครั้งนั้นก็ซื้อมาเล่นแปบเดียวแล้วก็เลิกเล่นมันไปจนขึ้นมัธยมต้นสักประมาณมอ1มอ2บัว ก็เริ่มมีความอยากเล่นกีต้าร์ซึ่งในตอนแรกคุณพ่อยังไม่อยากให้เล่นเขาคงเห็นในความเบื่อง่ายของบัว จนขึ้นมอ3บัวขอคุณพ่ออีกครั้งและในครั้งนี้ก็ขอได้สำเร็จบัวได้เล่นกีต้าร์ของคุณพ่อคือตัวที่อยู่ในรูปด้านบนนะคะเพื่อนๆ กีต้าร์โปร่งอันนั้นบัวก็ได้เพื่อนฟาร์มาสอนให้ในตอนแรกเพราะบัวไม่รู้จะเริ่มเล่นดนตรียังไงดีฟาร์สอนบัวจนคิดว่าตัวเองโอเคในระดับหนึ่งจนบัวเก็บเงินซื้อกีต้าร์เองเก็บจนได้ซื้อกีต้าร์ใหม่สมใจถ้าจำไม่ผิดราคาน่าจะประมาณ3พันกว่าๆค่ะ พอซื้อกีต้าร์ด้วยเงินของตัวเองความเบื่อง่ายก็หายไปเลยค่ะเพระกว่าจะเก็บเงินมากได้และกว่าจะได้ซื้อกีต้าร์นั้นมันยากลำบากจริงๆค่ะ




อันนี้เป็นกีต้าร์ที่บัวเก็บเงินซื้อเองค่ะ


จนบัวบอกกับตัวเองว่าถ้าเล่นกีต้าร์โปร่งได้ดีในระดับหนึ่งแล้วจะเริ่มฝึกกีต้าร์ไฟฟ้าจนคิดว่าตัวเองเล่นกีต้าร์โปร่งได้ดีในระดับหนึ่งบัวก็เลยขอคุณพ่อเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าซึ่งก็เป็นตัวบนรูปแรกกีต้าร์ไฟฟ้าสีฟ้านะคะเพื่อนๆ รู้สึกมีความสืบทอดเครื่องดนตรี5555 บัวก็ได้มีโอกาสเรียนชุมนุมที่โรงเรียนเป็นชุมนุมดนตรีสตริง บัวก็สมัครเข้าชุมนุมเพราะชอบเล่นดนตรีและได้มีโอกาสรวมวงกับเพื่อนๆในชุมนุมและได้ซ้อมร่วมกันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากค่ะบัวไม่เคยได้มีโอกาสซ้อมกับเพื่อนๆเป็นวงขนาดนี้เราก็ซ้อมไปเรื่อยๆเป็นปกติจนคุณครูเจ้าของชุมนุมมาบอกว่าอยากเล่นงานโรงเรียนมั้ยซึ่งเป็นโอกาสดีมากที่บัวจะได้มีโอกาสทำตามความฝันของตัวเอง จนในที่สุดบัวก็ได้เล่นดนตรีในงานโรงเรียน





นี่ก็เป็นครั้งแรกที่บัวได้เล่นดนตรีแสดงงานโรงเรียนและได้ทำตามความฝันของตัวเองได้สำเร็จ วันจริงตอนก่อนขึ้นแสดงบัวตื่นเต้นมากค่ะเครียดมากกลัวจะเล่นผิดมากๆและก็กังวลในหลายๆเรื่อง พอขึ้นเวทีไปเล่นจริงๆแล้วก็รู้สึกว่าคนด้านล่างเยอะมากเสียงกรี๊ดเสียงร้องเพลงตามเพลงที่เราเล่นเป็นอะไรที่ชื่นหัวใจมากค่ะมันดีมากดีเกินคาดเลยค่ะเพราะพวกเราทั้งหมดขึ้นไปแสดงเป็นครั้งแรกบัวปลื้มใจสุดๆไปเลยค่ะเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เองแต่บัวก็แอบเล่นผิดไปบ้างเพราะความตื่นเต้นบัวสัญญาว่าครั้งหน้าจะเล่นให้ดีกว่าเดิม



วงแหวน

ชื่อวงของบัวก็คือวงแหวงเราก็กันอยู่6คน มือคีย์บอร์ดชื่อ แพม มือกีต้าร์มี2คนชื่อ บัวกับเจอาร์ นักร้องนำชื่อ ต้น มือเบสชื่อ ฟาร์ มือกลองชื่อ บิว ค่ะ พวกเรา6คนอยู่กันต่างห้องยกเว้นฟาร์ ฟาร์อยู่ห้องเดียวกับบัวพวกเราในตอนแรกก็ยังไม่ค่อยสนิทกันมากแต่บัวก็อยากจะขอบคุณทุกคนในวงที่ทำให้บัวทำตามความฝันในวัยเด็กของตัวเองได้ถ้าไม่มีทุกคนก็คงไม่มี วงแหวนในวันนี้



สุดท้ายนี้นะคะบัวก็อยากจะบอกกับทุกคนว่าเรามีความฝันได้แต่จะทำตามฝันนั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองบัวเป็นคนที่ทำตามความฝันสำเร็จคือการได้เล่นขึ้นเล่นดนตรีบนเวทีโรงเรียนบัวอยากจะบอกว่ามันรู้สึกดีมากๆเลยนะคะบัวก็อยากให้เพื่อนๆทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จให้ได้อย่าพึ่งท้อถอยสู้ๆนะคะไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรค์ถ้าเราอยากที่จะทำความฝันนั้นให้สำเร็จจริงๆดังที่ตั้งไว้


ไปแล้วนะคะบายๆ



















สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคนวันนี้บัวจะมาเขียนบทวิจารณ์ของนักเขียนบทความท่านอื่นนะคะ
บัวจะบอกแค่นามของผู้แต่งกับลิ้งค์เว็บบล็อคนะคะเผื่อเพื่อนๆคนไหนสมใจอยากที่จะเข้าไปอ่านกันนะคะ

บทวิจารณ์

เป็นบทความของคุณณัชชา

บทความของนักเขียนบทความท่านนี้เป็นการพาไปให้รู้จักสถานที่วังน้ำเขียวค่ะ

ก่อนอื่นนะคะบทความของท่านนี้มีเนื้อหาที่น่าอ่านมากเลยค่ะและด้วยความที่เขาใช้ภาษาไทยดูไม่เป็นทางการจนเกินไปอ่านแล้วไม่เครียดหรือว่าเบื่อที่จะอ่านบทความของเขาเลยค่ะและก็มีเนื้อหาที่ครบถ้วนทำให้ดราไม่ต้องไปหาเพิ่มเราสามารถจบในบทความของเขาได้เลย ส่วนรูปภาพอันนี้ขอชมเลยค่ะเป็นรูปที่ถ่ายจริงแล้วทำให้เรารู้ว่าบรรยากาศจริงๆนั้นเป็นยังไงบ้าง ส่วนที่ต้องปรับปรุงก็คือเนือหาที่เยอะเกินไปอ่านไปอ่านมาเาไม่ออกเลยว่าจะจบตอนไปนและบทความจะจบยังไงและรูปที่เยอะเกินความจำเป็นแต่โดยรวมแล้วก็โอเคนะคะ

http://teawdeemeesuke.blogspot.com/2018/07/blog-post.html





บทวิจารณ์

เป็นบทความของคุณฐานิสา

บทความของนักเขียนบทความท่านนี้เป็นการพาไปให้รู้จักสถานที่เจดีย์ภูเขาทองนะคะ

โดยรวมแล้วถือว่าบทความของนักเขียนท่านนี้ดีมากๆเลยค่ะเป็นการพารีวิวรอบๆเจดีย์เลยค่ะมีการบอกวิธีในการเดินทางไปด้วยวิธียังไงบ้างให้ดูสถานที่รอบๆรูปภาพสวยมากและเยอะมากค่ะดูรีวิวแล้วอยากกจะไปเลยจริงๆค่ะส่วนข้อติก็คือเนื้อหาสั้นไปมากในระดับนึงเลยค่ะ

http://blackwhitekt.blogspot.com/2018/07/blog-post_2.html





บทวิจารณ์

เป็นบทความของคุณลลิตา

บทความของนักเขียนบทความท่านนี้เป็นการพาไปให้รู้จักงานเกษตรแฟร์

บทความนี้เป็นบทความที่โดยรวมแล้วบัวชอบมากๆบทความหนึ่งเพราะว่าการตกแต่งหน้าเว็บบล็อคของเขาสวยงามมากและภาษาที่ใช้ก็โอเครมากๆค่ะรูปภาพโดยรวมก็ดีมากๆทำให้เราอยากไปงานเกษตรแฟร์ขณะที่อ่านเลยค่ะ แต่ว่าเนื้อหาสั้นไปแล้วก็รีวิวร้านน้อยไปนิดนึงค่ะงานเกษตรแฟร์ใหญ่ควรรีวิวให้เยอะกว่านี้นิดนึง ว่าเราไปงานเกษตรแฟร์แล้วอะไรที่เราไม่ควรพลาดเราควรจะลองอะไรถ้าเราไปแล้ว

http://minklcmnk.blogspot.com/2018/07/61-1-29.html



ก็จบไปแล้วนะคะสำหรับบทวิจารณ์ของบัวเป็นยังไงกันบ้างคะผิดพลาดตรงไหนบัวต้องของอภัยด้วยนะคะ







คณะในฝันของเรา

ก่อนอื่นฉันขอแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นนะคะฉันชื่อบัวค่ะ สำหรับวันนี้บัวจะมาพูดเกี่ยวกับคณะในฝันและมหาวิทยาลัยในฝันของบัวนะคะเผื่อเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนไหนจะเอาไปประกอบการตัดสินใจในการเลือกคณะหรือเลือกมหาวิทยาลัย ก่อนอื่นนะคะบัวอยากจะบอกว่าบัวอยากประกอบอาชีพในอนาคตเป็นหมอฟันค่ะ ดังนั้นคณะที่บัวอยากที่จะเรียนต่อคือ คณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลันเรศวร
บัวจะพามาดูสาขาในการเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลันเรศวรกันนะคะว่าเขามีเรียนกันกี่สาขาและสาขาอะไรบ้าง

คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร แบ่งส่วนราชการในการเรียนการสอน โดยประกอบไปด้วย 5 ภาควิชา ดังต่อไปนี้
1.ภาควิชาทันตกรรมบูรณะ
2.ภาควิชาทันตกรรมป้องกัน
3.ภาควิชาทันตกรรมวินิจฉัย
4.ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปาก
5.ภาควิชาชีววิทยาช่องปาก

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจเลือกเรียนสาขาวิชาของแต่ละคนว่าอยากเรียนสาขาอะไรเพื่อนำไปต่อยอดในอนาคตได้และไปเรียนต่อในสาขาวิชาที่เราเรียนทำให้เราเป็นหมอฟันสาขาเฉพาะทาง

จริงๆที่บัวเลือกเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลันเรศวรก็เพราะว่ามหาวิทยาลันเรศวรอยู่จังหวัดพิษณุโลกอยู่โซนภาคเหนือส่วนตัวเป็นคนชอบภาคเหนืออยู่แล้วเพราะว่าภาคเหนือมีอากาศที่ดีอากาศเย็นสบายและในมหาลัยมีความร่มรื่นมีความสวยงามเป็นความแปลกใหม่ที่บัวอยากสัมผัสมหาลัยมีความไกลจากบ้านของบัวเป็นอย่างมากดังนั้นก็จะทำให้บัวได้อยู่คนเดียวรับผิดชอบตัวเองดูแลตัวเองคนเดียวในมหาลัย การได้อยู่หอการได้ใช้ชีวิตที่อิสระกว่าตอนอยู่มัธยมการเริ่มต้นใหม่ๆในต่างถิ่น






ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เน็ต




ส่วนคณะที่บัวสนใจอยากจะเรียนก็คือ คณะทันตแพทยศาสตร์ก็เพราะว่าสมัยยังเด็กบัวได้คลุกคลีอยู่กับคลีนิคหมอฟันบ่อยมากๆถึงมากที่สุดค่ะเวลาฟันน้ำนมโย้กบัวไม่เคยดึงให้มันหลุดเองเลยต้องไปหาหมอฟันแถวบ้านตลอด จนโตขึ้นมาบัวก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องมือของหมอฟันและก็ได้มีโอกาสจัดฟันยิ่งทำให้บัวได้เข้าใกล้หมอฟันได้รู้ขั้นตอนในการจัดฟันการถอนฟันต่างๆและได้ดูคลิปตัวอย่างเกี่ยวกับการเรียนคณะทันตแพทย์ซึ่งเป็นการเรียนที่โหดมากและดูเหนื่อยมากแต่บัวก็จะสู้นะคะทุกคนและบัวก็ได้ไปเข้าค่ายเกี่ยวกับคณะทันตแพทย์ได้ลองใช้อุปกรณ์ของหมอฟันจริงๆได้ขึ้นรูปแบบฟันของจริง และได้ไปดูเปิดบ้านที่มหาลัยต่างๆมาก็ได้รับความรู้ต่างๆมากมายอย่างเต็มที่ซึ่งเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจว่ามหาลัยที่ไหนมีสาขาอะไรให้ได้เรียนกันบ้างและบรรยากาศของแต่มหาลัยเป็นยังไง




ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เน็ต



สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งใจอ่านหนังสือตั้งใจเรียนเพื่อที่จะนำไปสอบเข้าซึ่งก็ไม่ได้สอบเข้ากันง่ายๆนะคะดังนั้นเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนไหนที่สนใจอยากที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะทันตแพทย์ก็ควรเริ่มอ่านหนังสือสะสมได้ตั้งแต่วันนี้เพื่อนอนาคตที่สดใส5555กันได้แล้วนะคะและก็อยากจะฝากไว้ว่าเลือกในสิ่งที่เราชอบการเรียนของเราจะได้มีความสุขส่วนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนไหนที่ยังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อในคณะอะไรดี ก็สู้ๆนะคะขอให้หาในสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถนัดในเร็วๆนี้นะคะ

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

     รีวิว เที่ยวเกาะเกร็ดใน1วันในแบบฉบับของพวกเราเด็กมอห้า




สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคนวันนี้บัวจะมารีวิวการเที่ยวเกาะเกร็ดใน1วันสำหรับเพื่อนๆที่ไม่ค่อยมีเวลาในการท่องเที่ยวมากเท่าไหร่จริงๆแล้วเกาะเกร็ดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่ได้มีพื้นที่เยอะเหมาะแก่การมาเที่ยวในเวลาสั้นๆ แต่เราจำเป็นต้องนั่งเรือข้ามฝั่ง ถ้าเพื่อนๆคนไหนว่ายน้ำไม่เป็นก็ต้องระวังตัวกันด้วยนะคะ การข้ามฝั่งใช้เวลาไม่นานก็ถึงฝั่งแล้วค่ะ วันนี้บัวจะพาไปดูวัดวาอารม ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก การทำเครื่องปั่นดินเผา ต่างๆนาๆ การไปเกาะเกร็ดครั้งนี้ของบัว บัวได้ไปกับเพื่อน4คน งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าในเกาะเกร็ดมีอะไรบ้าง ไปกันนนนนน



เริ่มแรกนะค่ะพวกเราเดินทางไปยังเกาะเกร็ด โดยพวกเรานั่งรถเมล์สาย 356 เข้าถนนแจ้งวัฒนะ จุดสังเกตุตอนลงรถเมล์คือ เราจะลงตรงเทสโก้โลตัสที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมของถนนจากนั้นเราก็เดินเข้าซอยต่อไป และไปต่อเรือข้ามฝั่งที่วัดสนามเสือเหนือ ไปยังฝั่งของเกาะเกร็ด
อัตราค่าโดยสาร
รถเมล์สาย 356 ราคา 9 บาท
นั่งเรือข้ามฝั่ง ราคา 2 บาท


ศาลาท่าเรือวัดเสือเหนือ


  พอพวกเราข้ามฝั่งมาแล้วมาถึงเกาะเกร็ดกันแล้วเราก็เริ่มจากการไหว้พระกันก่อนในครั้งนี้เราไปทั้งหมด3วัด



วัดแรกนี้เป็นวัดแรกที่เราไปกัน วัดนี้ขึ้นมาจากท่าเรือก็เจอเลยนะคะ




นี่เป็นวัดที่สองที่พวกเราไปกัน เดินมาเรื่อยๆแล้วเราก็จะเจอวันนี้



และนี่เป็นวัดสุดท้ายที่พวกเราไปกันค่ะ

หลังจากที่พวกเราไปไหว้พระกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็เดินเล่นหามุมถ่ายรูปกันสักพัก (หรือเราจะเลือกที่จะเช่าจักยานมาปั่นแทนการเดินก็ได้นะคะ)






พอพวกเราเดินไปได้สักพักพวกเราก็เริ่มหิวกันเราก็เลยเดินหาร้านอาหารทาน ร้านอาหารที่เกาะเกร็ดจะค่อนข้างเต็มเร็วนะคะไม่ค่อยมีที่นั่ง คนเยอะ พวกเราก็เดินหาร้านกันไปเรื่อยๆ จนพวกเรามาเจอร้านขายก๋วยเตี๋ยวริมน้ำ  ร้านนี้บรรยากาศดีมากๆเลยนะคะเพราะติดริมน้ำอากาศถ่ายเทมีเรือต่างๆผ่าน ร้านนี้ก็จะมีก๋วยเตี๋ยวหมูก๋วยเตี๋ยวเนื้อให้เลือกสรรมากมายและก็มีก๋วยเตี๋ยวใส่ไข่ด้วยนะคะเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่








หลังจากที่พวกเราได้รับประทานอาหารกันเสร็จแล้วพวกเราก็ไปปั้นเครื่องปั้นดินเผากันเพราะที่เกาะเกร็ดมีชุมชนเครื่องปั้นดินเผาพวกเราก็เลยไปลองปั้นกันดูที่ชุมชนมีเครื่องปั้นดินเผามากมายเลยนะคะมีทำเพื่อส่งไปขายด้วยค่ะวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาก็ไม่ยากนะคะแต่มือต้องนิ่งปั้นก็ใช้เวลาไม่นานค่ะแล้วเขาก็จะเป่าแห้งให้เราแทนการเผานะคะเพราะการเผาจะต้องใช้เวลา



 






เสร็จจากการทำเครื่องปั้นดินเผาเสร็จแล้วเราก็เดินหาของฝากกันที่นี่ก็จะมีของหลากหลายให้เลือกแต่ส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ร้านขนมไทย และเป็นขนมที่พวกเราไม่คุ้นเคยกันมีของประดับมากมาย และก็มีอยู่ร้านหนึ่งที่ต้องจับตามองเลยคือร้านถ่ายรูปด้วยแต่เขาใช้กล้องสมัยโบราณถ่ายค่ะเป็นอะไรที่ดูย้อนยุคมากค่ะ




ร้านที่พวกเราไปเลือกซื้อของประดับกันค่ะร้านนี้ขายของที่สวยงามมากค่ะมีกำไลหินสวยๆทั้งนั้นเลย



อันนี้เป็นขนมไทยที่บัวชอบมากเลยค่ะลูกชุบนั้นเองอร่อยจนต้องบอกต่อค่ะ



อันนี้ก็เป็นไอศกรีมแท่งที่พวกเราก็ซื้อรับประทานนับร้อนกันไป


หลังจากที่เราเดินเลือกซื้อของฝากกันมาได้สักพักแล้วละนี่ก็คือของฝากของพวกเราที่ซื้อมาทั้งหมดค่ะก่อนที่จะออกจากเกาะเกร็ดค่ะ พวกเราก็ถ่ายรูปกันอีกนิดๆหน่อยๆไว้เป็นความทรงจำแล้วค่อยนั่งเรือข้ามฝั่งกลับค่ะ




สุดท้ายนี้บัวก็ขอแนะนำแลนด์มาร์กของเกาะเกร็ดที่ทุกคนไปแล้วต้องถ่ายรูปไม่งั้นไปไม่ถึงนะคะ





เรานั่งเรือข้ามฝั่งมาเราก็จะเห็นเจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่ โดยลักษณะเด่นของเจดีย์องค์นี้คือมีลักษณะเอียงเอนเพราะว่าเจดีย์องค์นี้อยู่ใกล้ริมน้ำ



และนี่คือภาพบรรยากาศที่พวกราได้ถ่ายเก็บมาฝากกันค่ะ









เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับรีวิวไปเที่ยวเกาะเกร็ดใน1วันแบบฉบับเด็กมอห้าของบัว บัวก็หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นรีวิวที่เป็นประโยชน์และชี้แนะแนวทางให้แก่บุคคลที่อยากจะไปเที่ยวโดยใช้เวลาเที่ยวสั้นๆใน1วันนะคะ อย่าลืมไปเที่ยวเกาะเกร็ดกันเยอะๆนะเที่ยวให้สนุกนะคะ...