วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ขนมจากประเทศฝรั่งเศส



ขนมจากประเทศฝรั่งเศส




Image result for ฝรั่งเศส




ถ้าจะให้พูดถึงประเทศฝรั่งเศสแล้วละก็เพื่อนๆคงนึกถึงหอไอเฟลเป็นอันดับแรกสินะคะ แต่เดี๋ยวก่อนเพื่อนๆคงอาจจะลืมไปว่าประเทศฝรั่งเศสมีขนมที่น่ารักประทานมากมายอีกทั้งขนมบางอย่างที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสอีกด้วยส่วนตัวแล้วบัวชอบรับประทานขนมฝรั่งเศสมากโดยเฉพาะชูครีมเพราะเป็นขนมสอดไส้ครีมที่อร่อยๆมากๆเลยค่ะเอาเป็นว่าบัวจะพาเพื่อนๆไปรู้จักขนมสัญชาติฝรั่งเศส4อย่างกันนะคะ





1.ครอก็องบุช


Image result for วิธีทำ ครอก็องบุช


ชื่อขนมครอก็องบุชมาจากวลีภาษาฝรั่งเศสว่า croque en bouche แปลว่ากรอบกร้วมอยู่ในปาก

ส่วนผสม (สำหรับ 20 – 30 ชิ้น) เตรียม 30 นาที ปรุง 1 ชั่วโมง
ส่วนผสมแป้งชู (Choux)

แป้งอเนกประสงค์ 150 กรัม
ไข่ไก่เบอร์ 2 (เฉพาะไข่แดง) 3 ฟอง
เนยเค็ม 100 กรัม
นมจืด 70 มิลลิลิตร
น้ำ 190 มิลลิลิตร
ถุงบีบและหัวกลมเบอร์ 14
ส่วนผสมไส้ครีมชาไทย

ผงชาเนสที 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่เบอร์ 2 2 ฟอง
วิปปิ้งครีม 200 มิลลิลิตร
นมจืด 200 มิลลิลิตร
น้ำตาลทราย 100 กรัม
เนยเค็ม 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
ถุงบีบและหัวบีบไส้เอแคลร์
น้ำมันพืชสำหรับทาถาดเล็กน้อย
ส่วนผสมน้ำตาลเคลือบหน้าชู

น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม
น้ำปูนใส 100 มิลลิลิตร
ส่วนผสมน้ำตาลสำหรับแต่งขนม
น้ำตาลทราย 450 กรัม
กลูโคสไซรัป 1 ช้อนชา
น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบด้วยไฟบน – ล่างที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ทาเนยขาวลงบนถาดอบขนมพร้อมปูกระดาษไข เตรียมไว้
2. ทำไส้ครีมชาไทยโดยผสมส่วนผสมทุกอย่าง (ยกเว้นเนย) ลงในอ่างผสม คนให้ละลายเข้ากัน นำไปตุ๋นบนน้ำเดือด คนด้วยตะกร้อมือจนส่วนผสมข้นขึ้น เติมเนย คนอีกครั้งแล้วยกลง เทใส่ถาด เกลี่ยให้ทั่วแล้วใช้ฟิล์มถนอมอาหารปิดให้นาบส่วนผสม พักให้เย็น นำเข้าช่องเย็น พักไว้
3. ทำแป้งชูโดยร่อนแป้ง เตรียมไว้ จากนั้นใส่น้ำ นม และเนยลงในกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟกลาง คนให้ส่วนผสมเข้ากัน พอเดือดยกลงจากเตา แล้วจึงค่อย ๆ ใส่แป้งที่ร่อนไว้จนหมด คนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากันยกขึ้นตั้งไฟ คนต่อจนส่วนผสมข้นเหนียวเมื่อยกตะกร้อมือขึ้นจะไหลลงเป็นก้อนปิดไฟ ยกลง
4. เทส่วนผสมข้อ 3 ใส่เครื่องตี ใช้หัวตีแบบตะกร้อ ตั้งความเร็วต่ำ ตีนาน 2 นาที พอส่วนผสมเริ่มอุ่นใส่ไข่แดงลงไปทีละฟองจนหมด ตีพอเข้ากัน จากนั้นเพิ่มความเร็วปานกลาง ตีต่อประมาณ 5 นาที ปิดเครื่องตักส่วนผสมใส่ถุงบีบแล้วบีบให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 – 2 นิ้วลงบนถาดรองกระดาษไข เว้นระยะห่างให้ขนมขึ้นฟูอีกเท่าตัว ทำจนหมดส่วนผสม นำเข้าอบ
ประมาณ 15 – 18 นาทีหรือจนกว่าขนมจะพองสุก นำออกจากเตา พักขนมไว้บนตะแกรงจนเย็น รอเคลือบหน้าและบรรจุไส้
5. ทำน้ำตาลเคลือบหน้าขนมโดยผสมส่วนผสมในหม้อ คนให้น้ำตาลละลายเข้ากันยกขึ้นตั้งไฟกลาง พอเดือดหรี่ไฟลง แล้วคนต่อจนส่วนผสมข้นขึ้น ปิดไฟ ยกลง นำชูที่พักจนเย็นแล้วมาชุบน้ำตาลให้เคลือบด้านหน้า แล้วคว่ำด้านที่ชุบลงกับถาดที่ทาด้วยน้ำมันบาง ๆ พักไว้จนน้ำตาลแข็งตัว
6. นำชูที่ได้ในข้อ 5 มาบรรจุไส้ โดยนำไส้ขนมที่พักไว้ออกมาคนให้คลายความเย็น ตักใส่ในถุงบีบ บีบใส่ในตัวชูจนเต็ม พักไว้
7. ทำน้ำตาลสำหรับตกแต่งโดยนำส่วนผสมทุกอย่างใส่ลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน รอจนส่วนผสมละลายเข้ากันและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง ยกลงจากเตา พักหม้อในอ่างผสมที่ใส่น้ำไว้เพื่อลดอุณหภูมิ
8. นำชูที่ได้ในข้อ 6 มาชุบน้ำตาลสำหรับตกแต่ง แล้ววางขนมต่อกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเป็นรูปทรงพีระมิด จากนั้นใช้ส้อมจุ่มน้ำตาลที่เหลือโรยรอบพีระมิดชูให้เป็นเส้นสวยงาม






2.ชูครีม

Image result for ประวัติ ชูครีม



ชู ครีม เป็นขนมหวานชนิดหนึ่งที่มาจากเมืองน้ำหอม ประเทศ ฝรั่งเศส แต่เดิมเขาจะเรียกว่า ชู อา ลาเครม์ ความหมายของคำแต่ละคำคือ ชู หมายถึง กะหล่ำปลี ลาเครม์ หมายถึง ครีม ดังนั้น ชู อา ลาเครม์ ก็คือ กะหล่ำปลีมีครีม ไม่ใช่ แปลให้เข้ากับความอร่อยของขนมชนิดนี้ก็ ขนมที่มีรูปร่างเหมือนกะหล่ำปลี แต่ใส่ครีมเข้าไปนั่นเอง ประมาณปี พ.ศ. 2443 ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเมืองไทย ได้ทำขนมชนิดนี้มารับประทานกัน แล้วก็ได้ทำขนมอีกอย่างหนึ่งที่ใช้แป้งชนิดเดียวกัน แต่เพิ่มสีสัน และ ความหลากหลายมากขึ้น นั่นก็คือ เอแคร์ (Eclair) ที่เราคุ้นชื่อมากกว่า แต่ขณะที่ทำขนมทั้งสองชนิดอยู่นั้นจะมี สาวชาวไทย เข้าไปช่วยทำ และถามชื่อขนมว่าคืออะไร ก็ได้รับคำตอบว่า นี่คือ ชู อา ลาเครม์ ส่วนอีกคนก็นี่คือ เอแคร์ แน่นอนว่า ชู อา ลาเครม์ เรียกยากมาก หลายพยางค์อีกต่างหาก จึงไม่นิยม และ คนไทยจึงได้เรียกชื่อ ขนม ทั้งสองชนิดรวมเป็นชื่อเดียวกันคือ เอแคร์ จนมาถึงปัจจุบัน

วิธีทำ
ส่วนผสม แป้งชูครีม (ประมาณ 25 ชิ้น)

     • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม
     • น้ำเปล่า 120 มิลลิลิตร
     • เกลือ 1/4 ช้อนชา
     • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
     • เนยจืด (ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ) 57 กรัม
     • ไข่ไก่ขนาดใหญ่  2 ฟอง (ประมาณ 54 กรัม) ตีให้เข้ากัน
     • ไข่ไก่ 1 ฟอง (สำหรับทา ถ้าไข่ไก่จากส่วนผสมด้านบนเหลือ ไม่ต้องใช้ส่วนนี้ค่ะ)

ส่วนผสม ไส้ครีมวานิลลา

     • วิปปิ้งครีม 240 มิลลิลิตร
     • กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
     • น้ำตาลไอซิ่ง 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำตาลไอซิ่ง (สำหรับโรย)


ชูครีมไส้ครีมวานิลลา

  1. ใช้หม้อ 1 ใบ ใส่น้ำเปล่า เกลือ น้ำตาลทราย และเนยจืดลงไป นำไปตั้งไฟให้ร้อนปานกลาง คนให้เนยละลายก่อนน้ำจะเดือด แล้วก็ปิดไฟ หรือยกออกจากเตา
  2. ใส่แป้งอเนกประสงค์ที่ร่อนแล้วลงไปในเนย คนให้ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงเปิดไฟ หรือนำไปตั้งไฟอีกครั้ง วิธีนี้จะทำให้แป้งสุกพร้อม ๆ กัน ไม่จับตัวเป็นก้อนขาว ๆ คนจนให้แป้งสุกและน้ำระเหยออกไปพอสมควร เมื่อเห็นว่าแป้งสุก เนื้อเนียน และเป็นฟิล์มติดก้นหม้อก็ยกออกจากเตาได้ 
  3. นำแป้งมาตีในเครื่องตีด้วยความเร็วปานกลางสักครู่ เพื่อให้คายความร้อนออก หรือถ้าไม่ใช้เครื่องตีก็สามารถใช้ช้อนไม้คน ๆ ก็ได้ ทำขั้นตอนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข่สุกตอนผสมกับแป้ง
  4. เมื่อแป้งเย็นตัวลงแล้วก็ค่อย ๆ เทไข่ไก่ (ตีไข่แดงกับไข่ขาวรวมกันเรียบร้อยแล้ว) ประมาณครึ่งส่วนลงไปผสมกับแป้ง ใช้ความเร็วปานกลาง หรือใช้ช้อนไม้คน ๆ อย่าเทไข่ลงไปผสมทั้งหมดในครั้งเดียว เพราะอาจจะทำให้แป้งเหลวจนเกินไป ค่อย ๆ ผสมทีละครึ่งส่วนจะดีกว่าค่ะ 
  5. วิธีสังเกตว่าแป้งที่เราผสมใช้ได้หรือยัง ให้ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับแป้งขึ้นมาแล้วกางนิ้วออก ถ้าแป้งตั้งยอดแข็ง แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ควรผสมไข่ไก่ลงไปเพิ่มจนได้แป้งที่ตั้งยอดอ่อน ๆ (ดูตัวอย่างในวิดีโอนะจ๊ะ) 
  6. เมื่อได้แป้งที่เราต้องการแล้วก็เทใส่ถุงบีบ (นกใช้หัวบีบกลม ๆ ของ Wilton 2 A) หรือจะใช้ช้อนตักทำเป็นฟอร์มกลม ๆ ก็ได้
  7. บีบแป้งลงไปในถาดที่รองด้วยกระดาษไข บีบขนาดเล็กหรือใหญ่ตามความชอบค่ะ ใช้แปรงจุ่มไข่แล้วก็ปาด ๆ ทา ๆ ลงบนตัวแป้ง พร้อมทั้งจัดรูปทรงให้สวยงาม ทาไข่ไก่จะทำให้ขนมมันวาวสวยงาม
  8. นำไปอบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส ใช้ไฟบนและไฟล่าง ไม่เปิดพัดลม อบนานประมาณ 25-30 นาที ขึ้นอยู่กับชนิดของเตาอบด้วยนะคะ ต้องคอยสังเกตดู ระหว่างอบห้ามเปิดประตูเตาอบเด็ดขาดเพราะจะทำให้ขนมยุบตัว เวลา 15 นาทีแรกจำเป็นมาก ๆ ที่เตาอบจะต้องร้อนเพราะจะทำให้ขนมตั้งฟอร์มขึ้นมา หลังจาก 15 นาที ถ้าเห็นว่าขนมสีเริ่มเข้มก็สามารถลดไฟลงได้ แต่ต้องอบจนครบเวลา 
  9. เมื่อครบเวลาอบแล้วให้แง้มประตูเตาอบไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงนำขนมมาพักให้เย็นบนตะแกรง
  10. ระหว่างรอขนมเย็นตัวมาตีวิปปิ้งครีมกันค่ะ ก่อนจะตีวิปปิ้งครีม ชามผสมและไม้ตีจะต้องแช่ตู้เย็นก่อนอย่างน้อย 15 นาทีและวิปปิ้งครีมจะต้องเย็นมาก ๆ 
  11.  ในชามผสมใส่วิปปิ้งครีม น้ำตาลไอซิ่ง และกลิ่นวานิลลาลงไป ตีด้วยความเร็วต่ำก่อนเพื่อให้น้ำตาลกับครีมเข้ากันแล้วจึงเพิ่มเป็นความเร็วสูง ตีจนกว่าวิปปิ้งครีมเป็นวิปครีมตั้งยอดค่อนข้างแข็ง เสร็จเรียบร้อยก็นำไปใส่ในถุงบีบ (นกใช้ Wilton 1 M) 
  12. ตัดตัวขนมแบ่งครึ่งแล้วก็บีบวิปครีมลงไปปิดตัวขนม ด้านบนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่ง ทานคู่กับสตรอว์เบอร์รีก็อร่อย ๆ มาก หรือจะบีบใส่ตัวขนมโดยวิธีเจาะก้นแล้วเติมครีมลงไปก็ได้ตามความชอบค่ะ
  13. จะทานทันทีกรอบ ๆ หรือจะแช่ตู้เย็นให้ตัวขนมนิ่มก่อนก็อร่อยมาก กินไม่หมดสามารถแช่ตู้เย็นเก็บไว้นาน 2-3 วัน 






3.แครมบูเล่



Image result for เครมบรูเล่



แครมบรูว์เลปรากฏชื่ออยู่ในตำราทำอาหารของพ่อครัวฟร็องซัว มาซียาโล (François Massialot) ฉบับปี ค.ศ. 1691แต่ในตำราทำอาหารของมาซียาโล ฉบับปี ค.ศ. 1731 เรียกแครมบรูว์เลว่า "แครม็องแกลซ" หรือครีมแบบอังกฤษ (crème anglaise)ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ของหวานชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า "เบินต์ครีม" หรือครีมเผา (burnt cream) ในภาษาอังกฤษ

ส่วนในบริเตนใหญ่ มีการแนะนำแครมบรูว์เลอีกชนิดหนึ่งให้เป็นที่รู้จักในวิทยาลัยทรินิตี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี ค.ศ. 1879 แครมบรูว์เลชนิดนั้นจึงมีชื่อท้องถิ่นว่า "ครีมทรินิตี" (Trinity Cream) หรือ "ครีมเผาแบบเคมบริดจ์" (Cambridge burnt cream) อย่างไรก็ตาม ครีมทรินิตีก็ไม่ได้รับการคิดค้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แต่อย่างใด กล่าวกันว่าสูตรของครีมทรินิตีมาจากแอเบอร์ดีนไชร์ในสกอตแลนด์

ส่วนผสม

เฮฟวี่ครีม 3/4 ถ้วย
นมจืด 3/4 ถ้วย
ไข่แดง 4 ฟอง
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
เกลือ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ

เทเฮฟวี่ครีมกับนมจืดลงไปในหม้อ ตั้งไฟปานกลาง แล้วคนจนส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นก็ปิดไฟแล้ววางพักไว้
ผสมไข่แดงกับไข่ไก่ ตีให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่น้ำตาลทราย กลิ่นวานิลลา และเกลือ ตีให้เข้ากัน
ค่อยๆ เติมครีมและนมที่ผสมไว้ เทลงไปในชามไข่ ตีให้เข้ากันอีกครั้ง
เตรียมเตาอบที่อุณภูมิ 90 องศา วางถ้วยสำหรับใส่ขนมลงไปในถาด จากนั้นให้ใส่น้ำร้อนลงไปในถาดด้วย เทไปประมาณเกือบถึงครึ่งถ้วย
เทขนมลงไปในถ้วย แล้วนำเข้าเตาอบ 30 นาที ใช้อุณภูมิ 90 องศา อบจนขนมเซตตัว จากนั้นก็นำออกมาวางพักไว้ แล้วแช่ตู้เย็น
ก่อนจะเสิร์ฟให้นำออกมาจากตู้เย็นแล้วโรยน้ำตาลทรายให้ทั่ว ถ้าที่บ้านไม่มีที่พ่นไฟ ให้เอาก้นช้อนไปลนไฟ แล้วนำมานาบกับน้ำตาลทราย
เมื่อน้ำตาลทรายละลาย ก็จะกลายเป็นคาราเมลเคลือบแข็ง 






4.มาการอง


Image result for มาการอง




ระบุว่า มาการงนั้นมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 791 ในคอนแวนต์แห่งหนึ่งใกล้กับเมืองกอร์เมอรี จังหวัดแอ็งเดรลัวร์ บ้างก็สืบค้นประวัติศาสตร์ชาติฝรั่งเศสย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1533 สมัยที่กาเตรีนา เด เมดีชี อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส นางได้นำเชฟทำขนมชาวอิตาลีกลับมาด้วย ในปี ค.ศ. 1792 ช่วงการปฏิวัติชาติฝรั่งเศส มีแม่ชีนิกายคาทอลิกสองท่านซึ่งหลบภัยไปอยู่ที่เมืองน็องซี ได้อบขนมคุกกี้มาการงขายเพื่อจะนำเงินมาจ่ายค่าบ้าน ทำให้มาการงเป็นที่รู้จักโดยทั่ว มีคนตั้งชื่อให้ท่านทั้งสองว่า "ซิสเตอร์มาการง" ซึ่งในช่วงแรกนั้น มาการงจะเป็นขนมเปล่า ๆ ไม่มีรสหรือไส้อะไรที่พิเศษ

จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1830 เริ่มมีการเสิร์ฟมาการงเป็นคู่ ๆ พร้อมกับแยม เหล้า และเครื่องเทศต่าง ๆ แต่มาการงในทุกวันนี้ประกอบไปด้วยเมอแร็งก์แอลมอนด์สองชิ้นประกบกันสอดไส้ตรงกลาง ไส้ที่ว่านี้อาจจะเป็นครีมเนยที่ใช้แต่งหน้าเค้ก (บัตเตอร์ครีม) แยม หรือกานัช ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า "แฌร์แบ" หรือ "มาการงปารีส" มีการกล่าวอ้างว่า เมื่อต้นยุคศตวรรษที่ 20 เชฟปีแยร์ เดฟงแตนแห่งร้านขนมฝรั่งเศสลาดูว์เร (Ladurée) เป็นผู้คิดค้นสูตรนี้ขึ้นมา แต่นักทำขนมอีกคนหนึ่งคือ โกลด แฌร์แบ ก็อ้างว่าสูตรนี้เป็นผลงานของเขาเช่นกัน

ส่วนผสม
  1. อัลมอนด์ป่น 300 กรัม
  2. น้ำตาลไอซิ่ง 300 กรัม
  3. ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 110 กรัม
  4. ผงชาเขียว 10 กรัม
  5. น้ำเปล่า 75 กรัม
  6. น้ำตาลทราย 255 กรัม
  7. ไข่ไก่ (ไข่ขาว) 110 กรัม
วิธีทำ

  1. ตัดถุงบีบ ใส่หัวบีบ แล้ววางแผ่นซิลิโคนบนถาดอบ เตรียมไว้
  2. ผสมอัลมอนด์ (ถ้าใช้ผงชาเขียวให้ใส่ตอนนี้ แล้วคนให้เข้ากัน) และน้ำตาลไอซิ่งเข้าด้วยกัน นำร่อนแล้วพักไว้
  3. ทำอิตาเลียนเมอแรงโดยใส่ไข่ขาวลงโถ แล้วเตรียมหัวตีรูปตะกร้อไว้
  4. เทลงในหม้อ ใส่น้ำตาลทรายลงไป รอจนน้ำซึมเข้าน้ำตาลให้ทั่ว นำไปตั้งไฟกลาง ต้มให้เดือด จากนั้นวางเทอร์โมนิเตอร์ลงในหม้อเพื่อวัดอุณภูมิ
  5. รอจนได้อุณภูมิ 115 องศาเซลเซียส ให้เปิดเครื่องตีไข่ขาวด้วยความเร็วต่ำ เตรียมไว้
  6. รอจนน้ำตาลเดือดที่อุณภูมิ 117 องศาเซลเซียส จึงยกลงเตา ค่อยๆ เทลงในโถ่ตีไข่ขาวจนหมด
  7. เร่งสปีดตีไข่ขาวที่ความเร็วสูงสุดจนตั้งยอดแข็ง แล้วพักไว้ให้คลายร้อน ใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดจนได้อุณภูมิต่ำกว่า 50 องศา จึงนำไปใช้ได้
  8. ใส่สีผงชาเขียวลงในส่วนผสมอาหารลงในส่วนอัลมอนด์ที่ร่อนไว้ ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวลงไป ใช้พายยางคนให้เข้ากัน
  9. แบ่งเมอแรงครึ่งหนึ่งใส่ลงไปแล้วใช้พายยางค่อยๆ ผสมให้เข้ากัน
  10. ใส่เมอแรงส่วนที่เหลือลงไป แล้วตะล่อมเบาๆ (ระวังอย่าคนแรง) ให้เข้ากัน พักไว้
  11. ตักส่วนผสมใส่ถุงบีบที่เตรียมไว้ (ระหว่างนี้ให้เปิดเตาอบอุณภูมิ 160 องศาเซียส ไฟบน-ล่าง เตรียมไว้)
  12. บีบมาการองลงในถาดรองแผ่นซิลิโคนให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 3 เซนติเมตร และห่างกันประมาณ 3 เซนติเมตร
  13. เคาะถาดจากด้านล่างเบาๆ ให้ทั่วทั้งถาด เพื่อให้เส้นผ่านศูนย์กลางขยาขึ้นเป็น 4 เซนติเมตร วางพักไว้ 5-10 นาที
  14. ลดอุณภูมิเตาอบลงเหลือ 140 องศาเซลเซียส นำมาการองเข้าอบนาน 14 นาที
  15. นำฝามาการองออกจากเตา พักไว้ให้เย็น แล้วค่อยๆ แกะออกจากแผ่นซิลิโคน โดยหงายฝามาการองและขับคู่เรียงเตรียมไว้บนถาด พักไว้
ส่วนผสมไส้
  • ไวท์ช็อกโกแลตชนิดเม็ด 300 กรัม
  • วิปปิ้งครีมชนิด Dairy 300 กรัม
วิธีทำไส้
  1. เทวิปปิ้งครีมใส่หม้อ นำไปตั้งไฟอ่อนรอให้เดือด ยกลงจากเตา
  2. แบ่งวิปปิ้งครีมออกมาทีละน้อย  ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมวิปปื้งครีมแล้วคนไม่ให้จับตัวเป็นก้อน
  3. ใส่ไวท์ช็อกโกแลตลงในชามเซรามิกหรือพาสติกสำหรับเข้าไมโครเวฟ นำไปละลายในไมโครเวฟ (ความร้อนระดับสูงหรือประมาณ 600 วัตต์) นาน 1.5-2 นาที
  4. นำช็อกโกแลตที่ละลายที่ละลายแล้วออกจากเตาไมโครเวฟ  ใช้พายยางคนให้เข้ากัน พักไว้ให้หายร้อน แล้วนำไปแช่เย็น 1 ชั่วโมง
  5. นำไส้มาการองออกจากตู้เย็นใช้พายยางตีให้คลายตัว พักไว้
  6. จากนั้นก็บีบไส้มาการองลงบนฝาแล้วก็นำมาประกบกัน



ค่ะก็จบไปแล้วนะคะสำหรับวิธีทำขนมสี่อย่างจากประเทศฝรั่งเศสน่าทานมากๆเลยใช่มั้ยแหละคะ บัวก็หวังว่าเพื่อนๆจะนำไปทำตามจากวิธีที่บัวได้บอกไว้ข้างต้นนะคะ ขอให้สนุกกับการรับประทานละการทำขนมนคะ








ประวัติผู้จัดทำ








นางสาว กรกมล บุตรวงษ์ มัธยมศึกษาปีที่5/2 เลขที่9

โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น